เรื่องราวของ Whiplash เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง "แอนดรูว์" เด็กปีหนึ่งผู้หลงไหลในการตีกลอง กับอาจารย์ "เฟลทเชอร์" ผู้อุทิศชีวิตให้กับความสมบูรณ์แบบ เมื่อแอนดรูว์ถูกชักชวนโดยอาจารย์ที่เก่งที่สุดในโรงเรียนให้มาร่วมวง แอนดรูว์ทุ่มเททุกอย่างที่เค้ามีทั้งกำลังกายกำลังใจแต่เสียงตอบรับจากเฟลทเชอร์กลับไม่ใช่สิ่งที่เค้าคาดหวังเลยแม้แต่น้อย....
There are no two words in the English language more harmful than "good job". - Terence FletcherWhiplash ตบหน้าแนวคิดที่ว่า "เมื่อเราทำอะไรเต็มที่แล้วถึงแม้ว่ามันจะไม่สำเร็จแต่มันก็คุ้มค่า" อย่างรุนแรงด้วยแนวคิด "คนที่ทำไม่สำเร็จไม่มีสิทธิ์จะอ้างว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว" ถึงแม้ตัวหนังจะไม่ได้บอกตรงๆแต่นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้
แอนดรูว์ตัวเอกของเรื่องได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการฝึกซ้อมอย่างหนักจนเลือดกระเด็น แต่เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าข้อผิดพลาดนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่เฟลทเชอร์ก็ไม่ปล่อยให้ข้อผิดพลาดนั้นผ่านไปแม้แต่ครั้งเดียว
จุดเด่นที่สุดของ Whiplash ไม่ใช่ตัวเนื้อเรื่องแต่เป็นการปะทะทางอารณ์ของลูกศิษย์และอาจารย์ โดยฝั่งแอนดรูว์มีอีโก้สูงขึ้นเรื่อยๆจากการฝึกฝนของตนต้องปะทะกับอีโก้ที่สูงทะลุชั้นบรรยากาศของเฟลทเชอร์ ทำให้ตัวหนังนั้นไต่ระดับความตื่นเต้นและกดดันสูงขึ้นเรื่อยๆและไม่ยอมลดลงแม้แต่นิดเดียวจนจบ
Whiplash ไม่ใช่หนังที่เชิญชวนให้ใครก็ตามออกไล่ตามความฝันของตน มันเป็นหนังที่บอกว่า "ถ้าเอ็งต้องการไล่ตามฝันหล่ะก็แค่พยายามสุดฝีมือมันยังไม่พอหรอก เอ็งต้องพยายามให้ยิ่งกว่าสุดฝีมือขึ้นไปอีก วินาทีที่เอ็งคิดว่าทำเต็มที่แล้วนั่นแหละคือวินาทีที่ความฝันของเอ็งจบลง"
tl;dr : มันส์โคตรๆไปหามาดูซะ
No comments:
Post a Comment